วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

A Passage to India Part I : Jaisalmer..เมืองสีทองแห่งท้องทะเลทราย..ในแคว้นราชาสถาน...

เรื่อง : Anyakan  ภาพ : Anyakan & Nokarcharee
ปรับปรุงจากทีได้ตีพิมพ์ในนิตยสาร Daybeds ฉบับเมษายน 2550



ปลายเดือนกุมภาพันธ์อากาศเย็นสบายกำลังพอดี หลังจากที่เสร็จสิ้นภาระกิจที่เดลลีแล้ว ตามแผนต้องหาที่ไปต่อ ถึงแม้ว่าอินเดียอาจจะสกปรก วุ่นวาย ไร้ระเบียบ ไม่ค่อยสะดวกสบาย และน่าเวียนหัวในทัศนะของหลายๆ คนแล้ว ในอีกแง่มุมหนึ่งอินเดียก็ยังมีมนต์ขลัง เสน่ห็ ความงาม ศิลปะ วัฒนธรรม และวิถีการดำเนินชีวิตที่น่าค้นหาสำหรับอีกหลาย ๆ คน

โดยเฉพาะแคว้น 'ราชาสถาน' เป็นดินแดนแห่งสีสันที่ผู้คนกล้าใช้สี และใช้สีได้สวยเหลือเกิน 'ราชาสถาน' โดยความเห็นส่วนตัวแล้ว ก็น่าจะเป็นดินแดนแห่ง ศิลปะ วัฒนธรรม รวมทั้งสถาปัตยกรรม ที่โดดเด่นสวยงาม น่าดึงดูดใจและมีคาเรคเตอร์ที่สุดของอินเดีย 
นอกจาก Jaipur หรือ Pink City,Udaipur - White City (ถีอว่าเป็นเมืองที่โรแมนติกที่สุดในอินเดีย) Jodhpur - Blue City, Pushkar - Holy City เมืองฮิปปี้ที่ฝรั่งชอบไป และอีกหลาย ๆ เมืองบนพื่อนที่อันกว้างใหญ่ไพศาลที่ได้ชื่อว่า 'แคว้นราชาสถาน' (ชื่อนี้ได้มาเพราะว่าเป็นแคว้นที่มีมหาราชามากที่สุด ก็เลยทำให้มีวังเก่าอันวิจิตร งดงาม อลังการงานสร้างมากที่สุด ซึ่งวังเก่าเหล่านี้รวมทั้งพวก old havali ทั้งหลายที่เป็นนิวาสถานของเศรษฐีและผู้มีอันจะกินชาวภารตะในอดีตกาลทั้งหลาย ส่วนใหญ่ตอนนี้ได้ปรับเปลี่ยนมาเป็น heritage hotel ที่มีความคลาสิค สวยงามที่ยังคงมีกลิ่นอายของศิลปและสถาปัตยกรรมตามฉบับดั้งเดิมของดินแดนแห่งราชาแห่งนี้ ทำให้ราชาสถานดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมากที่สุดในอินเดีย 


ดังนั้นถ้ามีโอกาสที่จะไปท่องเที่ยวในราชาสถาน ขอแนะนำว่าควรอย่างแรงที่ต้องพยายามหาที่พักที่มีลักษณะเป็น heritage hotel เพื่อที่จะได้ซีมซับความรู้สึกประทับใจมากยิ่งขึ้นในการเดินทางครั้งนี้ search ดูใน google ก็ได้โดยพิมพ์คำว่า rajastan heritage hotel แล้วเลือกเมืองที่จะไป ช่วงเวลาที่น่าท่องเที่ยวที่สุดคือประมาณกลางเดือน พฤศจิกายนไปถึงกลางเดือนมีนาคม ซึ่งเป็น high season ของการท่องเที่ยวในอินเดีย นอกจากช่วงเวลานี้ก็จะถึอว่าเป็น low season อากาศจะร้อนและแมลงวันก็เยอะ

Jaisalmer จุดหมายปลายทางในการเดินทางครั้งนี้เป็นอีกเมืองในแคว้นราชาสถานที่ได้ชื่อว่า Gold City ... เมืองสีทอง หนี่งในบรรดาเมืองสี ๆ ที่มีชื่อเสียง และเป็นที่ชื่นชอบที่สุดของนักท่องเที่ยวในดินแดนแห่งราชันย์นี้ เป็นเมืองในทะเลทราย ที่อยู่ใกลสุดไปทางทิศตะวันตกของอินเดีย เกือบสุดชายแดนติดด้านปากีสถาน บ้านเมืองเป็นสีทอง เพราะว่าสร้างจาก  sand stone ทั้งเมืองเลยทำให้ชื่อว่า Gold City

การเดินทางไป 'Gold City' ผู้เขียนและเพื่อน ได้เดินทางมาจากเมือง Jaipur หรือ Pink City เมืองสีชมพู เมืองหลวงของแคว้นราชาสถานตั้งอยู่ประมาณสองร้อยกว่ากิโลเมตรจากเดลลี มี Palace of Wind หรือ Hawal Mahal ที่มีชื่อเสียงเป็นแลนมาร์คสำคัญ เราซึ้อตั๋วรถไฟเป็น overnight train ชึ้อเป็น sleeper car ถ้าเอาแบบคลาสดี ๆ หน่อยก็ซื้อเป็น A/C  sleeper car ที่เรียกว่า 2AC sleeper  แบบที่มีเตียงบนและล่าง ติดแอร์ ราคาประมาณ Rps. 900-1,000 จริงๆ แล้วช่วงเวลาที่เดินทางคือปลายเดือนกุมภาพันธ์ อากาศยังเย็นอยู่ ไม่ต้องเอา AC Class ก็ได้ เอาเป็น sleeper ธรรมดา ราคาก็จะถูกลงเยอะ แต่ไม่มี bedding ให้เหมือนกับ A/C sleeper ต้องเตรียมไปเอง ก็แล้วแต่งบค่ะ ส่วนตั๋วรถไฟถ้าขี้เกียจไปยืนต่อคิวซื้อเอง ก็จ้างคนที่โรงแรมที่พักไปซื้อให้ก็ได้ อาจจะบวกราคาซื้อประมาณ Rps.100 ก็โอเค ไม่เสียเวลาดี แต่อย่าลืมบอกให้ไปซื้อแบบ tourist quota จะดีกว่าเพราะจะรู้สึกปลอดภัยกว่าที่มีเพื่อนเป็น tourist ด้วยกัน แต่บางทีคนอินเดียอาจจะปลอดภัยกว่าก็ได้ เพราะเท่าที่ได้ยินมา แขกอินเดียไม่ทำร้ายคนอื่น และไม่ขโมย เพียงแต่ชอบหลอกขาของเท่านั้นเอง!! 

รถไฟออกประมาณเที่ยงคืนถึงที่หมายประมาณบ่ายสอง เดินทางประมาณ 14 ชม. แต่ก็โอเคนะ เพราะว่านอนไปเลย ทำให้ไม่รู้สึกว่านานเท่าไหร่ แต่ถ้าไดเร็คจากเดลลีเลยก็จะใช้เวลาประมาณ 19 ชม. แต่ส่วนใหญ่เค้าก็จะแวะเที่ยวเมืองที่อยู่ระหว่างทางกันก่อน เช่นแวะ Jodhpur ก่อน


ถึงแล้ว Gold City....ตื่นเต้นจังเพราะเป็นหนึ่งในเมืองในใจที่อยากจะไปมานานแล้ว ออกมาจากสถานีรถไฟมีคนจากโรงแรมที่เราจองไปมารุมรอรับเต็มไปหมด ไม่รู้ว่าคนไหนตัวจริงตัวปลอมกันแน่ เลือกมาหนึ่งคน ไปถึงโรงแรมถึงได้รู้ว่า อ้าวตัวปลอมนี่ โดนแขกหลอกอีกแล้ว โรงแรมที่พักชื่อ Hotel Suraj อยู่ใน Jaisalmer Fort มีประมาณ 4-5 ห้อง เจ้าของอาศัยอยู่ชั้นล่าง ส่วนโรงแรมนี้ดั้งเดิมเป็น old haveli อายุประมาณ 500 ปี เจ้าของเป็นอาจารย์ของมหาราชาของ Jaisalmer ห้องที่พักเผอิญโชคดีได้ห้องสวยถูกใจและอยู่ที่ตำแหน่งดีสุดของโรงแรม แต่ก็จะมองเห็นนักท่องเที่ยวแวะมาหยุดดูพร้อมไกด์และถ่ายรูปตลอดเวลาเลยต้องคอยโบกมือให้ ห้องก็สวยเก๋ น่ารัก space สวย และได้บรรยากาศแบบปราสาทในทะเลทราย ตกแต่งแบบง่ายๆ ใช้ผ้าสีสวยเป็นผ้าม่านและผ้าปูที่นอน ถึงแม้จะไม่ใช่ ดีไซเนอร์ คนราชาสถานนั้นโดย nature ก็ใช้สีเก่งอยู่แล้ว staff ที่นี่บอกว่าห้องพักที่นี่เคยลง Marie Claire Maison ของอิตาลีมาแล้ว ราคาก็โอเคเลย ห้องละ Rps. 900 เป็นราคาระดับ mid-range หาจาก Lonely Planet คัมภีร์ตลอดกาลของนักท่องเที่ยว

แต่ถ้าอยากได้แบบไฮโซอีกหน่อยก็จ่ายประมาณ Rps.3,000 ที่ Killa Bawan
http://www.killabhawan.com หรือ Garh Jaisal http://www.garhjaisal.com ทั้งสองที่ดูแล้วคงจะใช้อินทีเรียดีไซเนอร์ ตกแต่งให้ วิวจากทั้งสองแห่ง จะมองเห็นเมืองทั่งเมืองที่อยู่ด้านล่างของ Fort หรือพวก heritage hotel แบบห้าดาวอลังการไปเลยก็จะอยู่ข้างล่าง fort แต่ถ้าอยากประหยัดแบบ Backpacker ขอแนะนำ Sagar Guesthouse http://www.sagarguesthouse.com ห้องสะอาดดูดี เพิ่งจะเปิดใหม่ ยังไม่อยู่ใน Lonely Planet ราคาถูกแสนถูก Rps.200-300 มี roof top restaurant ด้วยที่ขื้นไปดูเพราะเวลาเดินผ่านเจ้าของเรียกทุกวันเลยว่าให้ขื้นไปดูหน่อย ใช้ได้เลยภูมิใจเสนอค่ะ




เราอยุ่ที่นี่ Jaisalmer กันประมาณ 4 คืน เนื่องจากเมืองค่อนข้างเล็ก ผ่านไปสองวัน ชาวบ้านรู้หมดว่าสองสาว(น้อย)นี้มาจาก Thailand และบอกว่ายังไม่เคยเจอนักท่องเที่ยวจากเมืองไทยเลย คนที่นี่ชอบเรียก ชอบถาม ชอบคุยและตามสไตล์แขก..ชอบเรียกเข้าร้านให้ไปซื้อของตลอดเวลา ใน fort จะมีโรงแรมและเกสต์เฮาส์กระจายอยู่หลายแห่งต่างๆ กันไป มี restaurant โดยเฉพาสไตล์ roof topและร้านรวงขายของสวยๆและน่าซื้อเต็มไปหมด จริงๆ แล้ว Jaisalmer เป็นเมืองเดียวที่ใน fort ที่ยังมีผู้คนอาศัยอยู่

ชาวบ้านที่นี่ใช้ชีวิตชิลด์ๆ เวลาว่างคงจะเยอะ แค่ถามทางนิดหน่อยก็จะพาไปเลย โดยเฉพาะถ้าเกี่ยวกับช้อปปิ้งละก้อรีบพาไปเลย คงจะได้คอมมิชชั่น ถึงแม้จะไกลแสนไกลขนาดนี้ Jaisalmerก็เป็นเมิืองที่แสนจะมีเสน่ห์ เป็น hot destination ที่มีนักท่องเที่ยวมากมาย โดยเฉพาะชาวยุโรป บ้านเมืองที่นี่ บังคับว่าต้องทำจาก sand stone เพื่อคงความเป็นเอกลักษณ์ และรักษาคอนเซ็ปท์ของ เมืองสีทองเอาไว้ อย่างเคร่งครัด ถึงแม้ว่าจะเป็นบ้านสร้างใหม่ก็ตามถ้าเป็นบ้านคนมีเงินหน่อย ก็จะ craving อย่างวิจิตรพิศดารตามแบบดั้งเดิมของ Jaisalmer อย่างน่าชื่นชม ตัดกับสีกับของผ้าส่าหรี ผ้าพิมพ์ลาย และผ้า embroidery สวยงาม ในแบบฉบับราชาสถาน

ถ้าใครบ้าช้อป ล่ะก้อถ้ามาเที่ยวเมืองไหนในแคว้นราชาสถาน คงจะกู่ไม่กลับ แบกกันหลังแอ่น แต่ยังไงก็ต่อหนักๆแล้วกัน แล้วอีกอย่างที่ต้องระวัง ถ้ามีใครจะพาไปซื้อของที่ Government Emporiumก็อย่าไปเชื่อนะว่าเป็น Government Emporium จริงๆ แล้วจะไม่โดนหลอกถ้าซื้อของที่นี่ เพราะฉะนั้นก็จะเสียรู้แขกเหมือนกับที่เพื่อนดิฉันโดนหลอกขาย 100% pasmina จาก Government Emporium ใน Jaipur มาแล้วกว่าเป็นขอจริง ก็โดนหลอกมาหลายผืนค่ะ ที่ได้แบบแท้ 100% มาเพราะโดนหลอกว่าเป็นซาตูส์ ซึ่งซาตูส์จริงๆ แล้วแพงมากๆ หายาก แล้วโดนแบนด้วย เพราะว่าทำมาจากขนขอของนก Analop ที่หายากและใกล้สูญพันธ์ ราคาอย่างต่ำๆอย่างน้อยก็ผืนละเจ็ดแปดหมื่นบาท ถ้าของดีเลยก็ราคาเป็นล้านค่ะ ส่วน pasmina ที่คนขายบอกว่า ของแท้ 100% ทดสอบได้ถ้าทั้งผืนลากผ่านแหวนไปได้ทั้งผืนที่เรียกว่า ring through น่ะหล่ะค่ะสุดท้ายได้เรียนรู้จากคนที่ขายของอย่างอื่นที่ไม่ใชผ้าว่า ring through จริงๆแหวนที่จะผ่านนั้นต้องมีรัศมีเพียง 0.35ซม. เท่านั้นค่ะ

Tourist Attraction ทีต้องแวะไปชม ก็คงไม่พูดถึงมากเพราะหาอ่านได้ใน Lonely Planet หรือ guide book ทั่วไปเช่นใน fort ก็ต้องแเข้าไปที่ Rajmahal ที่เป็นวังของมหาราชาแห่ง Jaisalmer หรือ Jain Temples ที่เป็นวัดของคนที่นับถือศาสนา Jain ทีไม่กินเนื้อสัตว์ซึ่งชาว Jaisalmer ส่วนใหญ่นับถือ เวลาเดินใน fort จะได้ feelingเหมือนเดินอยู่ในเมืองเก่าๆ ในยุโรปทางเมดิเตอเรเนียนเหมือนกัน เช่นเมือง Toledo ที่อยู่ใน Spain ใกล้กรุง Madrid หรือ Sicily เกาะทางตอนใต้ของอิตาลี อะไรทำนองนั้น ใช้เวลาไม่นานก็เดินรอบแล้ว และที่ใน fort จะมีจุดชมวิว มากมายหลายจุดทั้ง sunrise, sunset เช่นพวก roof top restaurant ต่างๆ หรือตามแนวรอบๆกำแพง fort

ถ้าลงมาใน Local town area ก็จะมี Local market มีของขายน่าซื้อเต็มไปหมด เดินเล่นก็เพลิดเพลินหรือจะเช่าจักรยานขี่ก็ได้ บ้านช่องมีเอกลักษณ์เฉพาะไม่เหมือนใคร เดินไปเรื่อยๆ ก็จะเจอ Patawa Haveli สร้างขึ้นใน คศ. 1800 – 1860 เป็นบ้านเก่าของเศรษฐีและคหบดีผู้มั่งคั่ง เปิดให้เข้าชม ขึ้นไปชั้นบนสุดของ haveli เป็นroof top มองไปเห็นวิว fort และบ้านเมืองสวยงามมาก

Salim-Singh Haveli เป็นบ้านเก่าที่เคยเป็นทีิอยู่อาศัยของนายกรัฐมนตรีขี้ฉ้อและคดโกงของ Jaisalmer ที่ฆ่าพ่อของตัวเองที่เคยเป็นอดีตนายกฯ แต่ก็ถูกมหาราชาสั่งฆ่าในที่สุดบ้านเรือนตามตรอกซอกซอย ใน Local town ก็น่ารักดี ผู้คนโดยเฉพาะผู้หญิงแต่งส่าหรี สีสันตัดกัน สวยงามวัวถือว่าเป็นเจ้าถิ่นเพราะว่าเป็นเทพเจ้าของศาสนาฮินดู ตามถนนหนทาง และตรอกซอกซอย จะเป็นเรื่องปกติมากทีจะเจอวัวใช้ชีวิตปะปนกับคน ท่ามกลางกลิ่นขี้วัวโชยไปมา ถือว่าความคลาสสิคอย่างหนึ่งของวิถีชีวิตคนอินเดีย เลยทีเดียว


คนที่นี่วันๆคงไม่ได้ทำอะไรมาก รู้สึกว่าวันๆ ก็จะ hang out กับนักท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ ดิฉันกับเพื่อนก็ได้เพื่อนไหม่ชาวJaisalmer คนนึงชื่อโยคี เป็นน้องชายเจ้าของร้านที่อาหารริมขอบ fort บรรยากาศชิลด์ๆมองเห็นวิวเมืองอยู่ทางด้านทิศใต้ของ Fort ชื่อ Shati ที่เราไปนั่ง hang ทุกวัน มีน้ำใจก็อาสาเป็นไกด์พาไปนู่นไปนี่แทบทุกวัน ไม่ค่อยพูดมากเท่าไหร่ แถมแบกของให้ด้วย

และเนื่องจาก Jaisalmer เป็นเมืองที่อยู่ในทะเลทราย camel ride trip ที่ต้องไปนอนกลางดินกลางทราย ท่ามกลาง sand dune ขี่อูฐ และนอนหนาว ชมดาว จึงเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่เป็นทีชื่นชอบในหมู่นักท่องเที่ยวฝรั่งมาก แต่ดิฉันและเพื่อนตัดสินใจว่าไม่ไปดีกว่า เพราะไม่อยากไปนอนหนาวทรมาน อูฐก็เคยลองขี่แล้ว เจ็บก้นดีแท้ แต่สำหรับใครที่ชอบ adventure ก็น่าลองดูนะคะ ศึกษาข้อมูลหน่อยก็จะดีเพราะจะได้ไม่ถูกหลอก หรืออีกทางเลือกคือไปแบบไม่ต้องค้างคืน ไปเช้ากลับเย็นหลังพระอาทิตย์ตกก็ได้แล้วอีกสาเหตุหนึ่งที่ไม่ได้ไปท้วร์ทะเลทราย เนื่องจากเห็นส่าหรีเก่าสวยๆ ก็เลยเกิดอาการคันไปลองสั่งทำกระเป๋าตามแบบของเรา ทดลองทำ 1 ใบก่อน ออกมาเผอิญดูดีก็เลยสั่งทำเพิ่มอีกเกือบร้อยใบ และภายใน24 ชม. ต้องทำให้เสร็จ เพราะว่าจะต้องย้ายไปที่เมืองอื่นต่อแล้ว เนื่องจากแต่ละใบใช้ผ้าในแต่ละส่วนไม่เหมือนกันเลยก็เลยเวียนหัวเหมือนกัน ตอนเลือก mix and match ก็เลยต้อง อยู่คอยเฝ้าวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ก็สนุกดี เพราะว่าเวลามันน้อยไปหน่อย เลยค่อนข้างเครียด เพราะว่าต้องคอยดู คอยลุ้นว่าจะทำเสร็จทันเวลามั้ยนี่ ไม่เสร็จทั้งหมดค่ะต้องหอบกลับมาทำต่อที่กรุงเทพฯ ถ้ามีอีกหนึ่งวันก็จะทำเสร็จหมด..ก็ดันไปเชื่อแขกเองก็ยังแหละ..


หลังจาก Jaisalmer จุดหมายปลายทางต่อไปก็คือ Jodhpur – Blue City แล้วก็ต่อไปที่ Puskar – Holy City..ที่มีทะเลสาบตรงกลาง เมืองนี้หาเนื้อสัตว์กินไม่ได้ แต่เป็นเมืองที่เป็นที่ชื่นชอบที่สุดของนักท่องเที่ยวแบบBackpacker ที่เซอร์ หลุดโลก ท่องเทียวเป็นปีๆ บางคนท่องเที่ยวเป็นสิบปีก็ยังมีเลย พอดียาวเกินไปแล้ว เอาไว้มาเล่าต่อบล้อกหน้าละกันนะ

7 ความคิดเห็น:

  1. I am so impressed in your blog. I am waiting for stories of the blue and the gold city. A request from me: It's a must for you to write about buying Pashmina in India. ;)

    ตอบลบ
  2. เก่งมากค่า
    ขอสนับสนุนให้ทำต่อไป
    เด๋วไปอ่านต่อกอน

    ตอบลบ
  3. Really cool! I want to go there after read your blog.
    Can you make the copy size bigger next time ka?
    Aew :)

    ตอบลบ
  4. By the way, P'Ja you now have 100 bags more!! Really!

    ตอบลบ
  5. ไม่ระบุชื่อ17 ตุลาคม 2554 เวลา 06:38

    - Red Hawk jaa *** Really well done blog...thanks...

    ตอบลบ